ท่าแขก แขวงคำม่วน สปป.ลาว
จำได้ว่าเคยเห็นแนวเทือกเขาหินปูนสลับซับซ้อนทอดตัวยาวขนานไปกับวิวแม่น้ำโขงของเมือง “ท่าแขก” แขวงคำม่วน สปป.ลาว ที่มองออกไปจากริมฝั่งของจังหวัดนครพนมจากรายการ 72 ชั่วโมง ของพี่เรย์ แมคโดนัลด์ ความสวยงามและความมีเสน่ห์ของเทือกเขาเหล่านั้นเหมือนมีแรงดึงดูดให้เราออกไปค้นหาและสัมผัสบรรยากาศของดินแดนที่ซ่อนตัวอยู่ระหว่างทิวเขาและสายน้ำโขง จึงบอกกับตัวเองว่า“สักวันหนึ่งเราจะต้องข้ามไปเยือนเมืองนี้ให้ได้”
จนกระทั้งเราได้มีโอกาสเดินทางมาทำงานที่จังหวัดนครพนมเป็นระยะเวลา 5 วัน ซึ่งตามกำหนดการเดิมเราจะต้องเดินทางมาทำงานในเช้าวันจันทร์และเดินทางกลับในวันเสาร์ แต่เราเลือกที่จะเดินทางมาก่อนล่วงหน้า 2 วัน เพื่อที่จะออกเดินทางไปสำรวจเมือง “ท่าแขก” และจังหวัดนครพนม ด้วยระยะเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัด เราจึงเลือกอยู่ที่เมือง “ท่าแขก” เพียงแค่ 1 วัน 1 คืนเท่านั้น แล้วจึงกลับมาเที่ยวต่อที่นครพนม ระยะเวลาเพียงสั้นๆนี้เราจะสามารถไปไหนและทำอะไรได้บ้างนั้น ตามมาๆ
ท่าอากาศยานนครพนม
เราเริ่มต้นออกเดินทางจากสนามบินดอนเมืองด้วยสายการบิน Nok Air เที่ยวบินที่ DD9514 ออกเวลา 10.05 น. ถึงสนามบินนครพนมเวลา 11.15 น. ของเช้าวันเสาร์
การเดินทางด้วยเครื่องบินมายังจังหวัดนครพนมมีสายการบินที่ให้บริการทั้งหมด 2 สายการบิน ดังนี้
1. สายการบิน Nok Air มีวันละ 2 เที่ยว เที่ยวไปจากดอนเมืองเวลา 10.05 น. และ 17.40 น. ส่วนเที่ยวกลับเวลา 11.45 น. และ 19.30 น. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ช.ม 20 นาที
2. สายการบิน Air Asia มีวันละ 2 เที่ยว เที่ยวไปจากดอนเมืองเวลา 08.30 น. และ 15.10 น. ส่วนเที่ยวกลับเวลา 10.10 น. และ 17.00 น. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ช.ม 15 นาที
ส่วนการเดินทางจากสนามบินนครพนมเข้าไปยังตัวเมืองนครพนม ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 17 กิโลเมตร มีบริการรถตู้ส่งถึงหน้าที่พักในราคาคนละ 100 บาท เคาร์เตอร์ที่ให้บริการอยู่บริเวณหน้าประตูทางออกจากจุดรับกระเป๋า
ร้าน ต.เป็ดย่าง
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 15 นาทีก็มาถึงตัวเมืองนครพนม
มาทันเวลาของมื้อกลางวันพอดี จึงแวะกินข้าวที่ร้าน ต.เป็ดย่าง
เป็ดเนื้อนุ่ม ซอสราดและน้ำซุปรสชาติเข้มข้น
The P Hometel Hotel & Cafe
กินเสร็จจึงเอากระเป๋าเดินทางที่ใส่เสื้อผ้าสำหรับใส่ทำงานไปฝากไว้ที่โรงแรม The P Hometel Hotel & Cafe ที่พักของเราในคืนวันอาทิตย์หลังจากกลับมาจากท่าแขก ที่เลือกโรงแรมนี้เพราะตั้งอยู่ห่างจากด่านตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งเป็นท่าเรือข้ามไปยังฝั่งเมืองท่าแขกเพียงแค่ 100 เมตร
เราเตรียมเป้ใบเล็กติดมาด้วยเพื่อใส่เสื้อผ้าและข้าวของที่จำเป็นสำหรับการไปค้างคืนที่ท่าแขก ทำให้เดินทางได้คล่องตัวขึ้น เมื่อฝากกระเป๋าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงเดินวนมาถ่ายรูปเล่นที่หอนาฬิกาเล็กน้อยเพราะอยู่ไม่ไกลจากท่าเรือ
วันนี้เป็นวันแรกของปีที่ลมหนาวพัดผ่านมา อากาศเย็นสบายกำลังดี ท้องฟ้าปลอดโปร่งและใสมาก
และนี่ก็คือวิวในตำนานที่เคยเห็นแต่ในทีวี วันนี้ได้มาเห็นด้วยตาตัวเองสักที รู้สึกดีต่อใจ
การเดินทางข้ามไปยังเมืองท่าแขกสามารถทำได้สองวิธี วิธีแรกคือนั่งเรือข้ามฟากจากท่าเทียบเรือการท่องเที่ยวซึ่งเป็นด่านตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งเปิดทุกวัน ตั้งแต่ 08.00 – 18.00 น. ใครที่มีพาสปอร์ตก็เพียงแค่เขียนใบตม.แล้วข้ามได้เลย ส่วนใครไม่มีพาสปอร์ตสามารถทำบัตรผ่านแดนชั่วคราวได้ที่จุดบริการออกหนังสือผ่านแดนชั่วคราวซึ่งอยู่ทางด้านข้างของด่าน ใช้เพียงแค่บัตรประชาชนและจ่ายค่าธรรมเนียมประมาณ 36 บาท สำหรับวันธรรมดา และ 47 บาท สำหรับวันเสาร์อาทิตย์ สามารถอยู่ได้ 3 วัน 2 คืน เฉพาะแขวงคำม่วน และด่านนี้สามารถข้ามได้เฉพาะคนไทยและคนลาวเท่านั้น
ท่าเทียบเรือการท่องเที่ยว
คนชาติอื่นๆ จะต้องไปข้ามที่สะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 3 ซึ่งเป็นวิธีที่ 2 ที่สามารถข้ามได้ทุกคน เปิดตั้งแต่ 06.00 น. ถึง 22.00 น. โดยสามารถขับรถข้ามไปเองหรือจะขึ้นรถโดยสารนครพนม-ท่าแขกจากขนส่งในตัวเมืองนครพนมก็ได้เช่นกัน ค่าโดยสารคนละ 70 บาท ช่วงวันหยุดเพิ่ม 5 บาท เที่ยวแรก 08.00 น. เที่ยวสุดท้าย 17.30 น. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม.(ไม่รวมเวลาที่ด่าน ซึ่งจะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ใช้บริการ) และสามารถทำบัตรผ่านแดนชั่วคราวได้ที่ด่าน ค่าธรรมเนียมเท่ากันกับที่ท่าเรือ สามารถอยู่ได้ 3 วัน 2 คืน เฉพาะแขวงคำม่วนเท่านั้น
วิธีที่เราเลือกและคิดว่าเป็นวิธีที่สะดวกที่สุดก็คือการข้ามด้วยเรือข้ามฟาก ค่าโดยสารคนละ 60 บาทต่อเที่ยว เที่ยวแรกออกเวลา 8.30 น. เที่ยวสุดท้าย 18.00 น. (8.30 น. – 14.30 น. ออกทุกครึ่งชม. 15.00 น. – 18.00 น. ออกทุก 1 ชม. หรือออกทันทีเมื่อผู้โดยสารเต็มลำ)
สามารถรับใบตม.ได้จากจุดขายตั๋วเรือ จากนั้นก็กรอกข้อมูลขาออกให้เรียบร้อย แล้วยื่นไปพร้อมกับตั๋วเรือและพาสปอร์ตให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบก็สามารถออกประเทศได้แล้ว เย้!!!
พี่รู้ไหม เรือมาจอดรอพี่ที่ท่าน้ำทุกวันเลยนะ
ประตูลงเรือมีแค่ช่องเดียว แถมผู้โดยสารส่วนใหญ่เลือกนั่งกันบริเวณนี้เพราะจะได้ขึ้นก่อน เลยลงค่อนข้างลำบาก ต้องพยายามแหวกผู้คนและก้าวข้ามข้าวของที่วางขวางอยู่ เพื่อไปหาที่ยืนปักหลักด้านหลังซึ่งยังพอมีพื้นที่ว่าง
ผู้โดยสารใกล้จะเต็มลำและถึงรอบออกพอดี เรือจึงค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากท่า บนเรือไม่ค่อยมีเก้าอี้ให้นั่ง คนส่วนใหญ่จะยืนหรือไม่ก็นั่งลงไปกับพื้น
ลาก่อนประเทศไทย ไปแป๊บเดียวเดี๋ยวกลับมานะ
ถ้าไม่นับแดดช่วงบ่ายที่ส่องเข้ามาทางด้านขวาบรรยากาศบนเรือจะเพอร์เฟคมาก
เราเดินหลบแดดออกมาสูดอากาศบริเวณท้ายเรือ มีลมเย็นๆโชยมา วิวด้านหน้าก็ดีงาม รู้สึกอยากอยู่บนเรือแบบนี้ไปนานๆ ขอนั่งกลับกรุงเทพเลยได้ป่ะ
เรือลำนี้มีดาดฟ้าให้ขึ้นไปชมวิวได้ด้วย แต่ไม่มีใครสนใจเลย ทำไมน่ะหรอ? ดูแดดสิ
ไหนๆ ก็มาแล้วขึ้นไปชมวิวหน่อยละกัน ถึงแม้ว่าสีจะทนได้ แต่ผิวทนไม่ด๊ายยยย
เมืองท่าแขก
ใช้เวลาประมาณ 20 นาที เรือก็เริ่มเข้าเทียบท่า
กัปตันจอดได้นิ่มมาก แถมยังมาคอยส่งผู้โดยสารอีกต่างหาก
สะบายดีเมือง “ท่าแขก” (ທ່າແຂກ) เมืองเอกในแขวงคำม่วน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง ตรงข้ามกับอำเภอเมือง จังหวัดนครพนม เป็นเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ลาวมายาวนาน ซึ่งในอดีตราวคริสต์ศตวรรษที่ 5 เคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรฟูนันและอาณาจักรเจนละ โดยมีเมืองหลวงชื่อว่า ศรีโคตรบูร หรือ ศรีโคตรบอง แต่หลังยุคขอมเสื่อมอำนาจลงเมืองแห่งนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านช้าง
จนมาถึงยุคสมัยฝรั่งเศสเข้ามาปกครอง ได้ย้ายเมืองมาตั้งที่เขตเมืองท่าแขกจนถึงปัจจุบัน สำหรับใช้เป็นท่าเรือขนส่งสินค้าจากต่างเมือง และสร้างบ้านเรือนตามแบบฝรั่งเศสไว้บริเวณริมแม่น้ำ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเมือง “ท่าแขก” ซึ่งหมายถึงท่าเรือสำหรับแขกบ้านแขกเมืองมาเยือนนั่นเอง
แต่หลังจากประเทศลาวได้รับเอกราช รัฐบาลพยายามเปลี่ยนชื่อเมืองใหม่เป็นเมือง “คำม่วน” ให้ฟังดูแล้วมีความเป็นลาวมากขึ้น ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านไปหลายปีชาวบ้านชาวเมืองก็ยังติดปากเรียกเมือง “ท่าแขก” อยู่จนถึงทุกวันนี้
เมื่อมาถึงด่านฝั่งลาว ให้เอามือยื่นเข้าไปขอใบตม.จากช่องที่มีเจ้าหน้าที่นั่งอยู่ กรอกเสร็จก็แนบไว้ในพลาสปอร์ตแล้วยื่นกลับเข้าไปในช่องเดิม จากนั้นก็รอเรียกชื่อและจ่ายค่าผ่านแดน 50 บาทต่อคน
เดินเลี้ยวขวาออกมาจากด่าน จะมีรถสามล้อจอดคอยรอให้บริการ ส่วนใหญ่จะคิดราคาเหมารายวัน ราคาเท่าไหร่นั้นขึ้นอยู่กับการต่อรองและสถานที่ที่ต้องการจะไป เรทราคาจะอยู่ที่ประมาณ 800 -1500 บาทต่อวัน ส่วนเราไม่ได้ใช้บริการ เพราะตั้งใจจะเช่าจักรยานปั่นเที่ยวเองแค่ใกล้ๆแถวนี้
โรงแรมที่เราจองเอาไว้อยู่ห่างจากด่านออกไปประมาณ 500 เมตร จึงค่อยๆเดินเล่นถ่ายรูปเก็บบรรยากาศไปเรื่อยๆ
สิ่งที่เรามองหาและตั้งใจจะมาสัมผัสสำหรับทริปนี้ก็คือ บรรยากาศของตึกเก่าๆที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล (Colonial Style) ที่ตกทอดมาจากฝรั่งเศษในยุคอาณานิคม
Colony แปลว่า อาณานิคม เมืองขึ้น หรือหัวเมืองประเทศราช ส่วนคำว่า Colonial เป็นคำ adjective แปลว่า เกี่ยวกับอาณานิคม ดังนั้นคำว่า Colonial Style จึงหมายถึงศิลปะแบบอาณานิคม ซึ่งในยุคล่าอาณานิคมมหาอำนาจชาวตะวันตก เช่น โปรตุเกส ฮอลันดา ฝรั่งเศส อังกฤษ ได้เข้ามาปลูกสร้างอาคารต่างๆเอาไว้ในเมืองขึ้นของตน (ที่มา)
เราเป็นคนที่รู้สึกหลงไหลในความมีเสน่ห์ของสถาปัตยกรรมเก่าๆ ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่ตึกเก่าแบบโคโลเนียล แต่ยังรวมถึงบ้านเรือน อาคาร หรือสถานที่สำคัญทางศาสนาของแต่ละท้องถิ่นที่เดินทางผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานจนถึงปัจจุบัน มันเหมือนกับว่าเราได้พบเจอกับผู้เฒ่าผู้แก่ที่เคยเกิดและเติบโตมาในสมัยนั้นและยังคงมีชีวิตอยู่เพื่อมาบอกเล่าเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นในอดีตให้เราฟัง
Inthira Hotel
Inthira Hotel คือโรงแรมที่เราจองเอาไว้ล่วงหน้า ซึ่งโรงแรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของตึกแถวแบบโคโลเนียลในย่านเมืองเก่าของท่าแขก
เราจองโรงแรมนี้ผ่านทางเว็บไซด์ Traveloka เว็บเอเจนต์ซี่ที่มีโปรโมชั่นและส่วนลดทั้งที่พักและตั๋วเครื่องบินออกมาบ่อยมาก โดยสามารถจองได้ผ่านทางเว็บไซด์จากลิงค์นี้ >> https://www.traveloka.com/th-th/hotel หรือผ่านทางโมบายแอพพลิเคชั่นก็ได้เช่นกัน และสามารถชำระเงินได้หลายช่องทาง สะดวกและคุ้มมากๆ
หลังจากระบุสถานที่ที่เราจะไป เลือกวันที่เข้าพัก และกดค้นหา ระบบก็จะแสดงโรงแรมต่างๆที่อยู่ในบริเวณนั้นขึ้นมาให้เลือก โดยสามารถปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการค้นหาได้ ไม่ว่าจะเป็นเรทราคาตามงบเราที่ต้องการ หรือจากคะแนนการรีวิวจากคนที่เคยเข้าพัก จนได้โรงแรมที่เราพอใจ
โรงแรม Inthira ถือว่าเป็นโรงแรมที่ได้รับความนิยม เนื่องจากจุดที่ตั้งเหมาะสมและราคาไม่แพงจนเกินไป มีอาหารเช้าและฟรีไวไฟ โดยมีห้องให้เลือก 2 แบบ คือ แบบสแตนดาร์ดและดีลักซ์ สำหรับเราเลือกแบบสแตนดาร์ด เพราะราคาไม่เกินงบที่ตั้งไว้
หลังจากตัดสินใจเลือกได้แล้วก็กรอกข้อมูลส่วนตัวอีกนิดน้อย และเลือกรูปแบบการชำระเงิน ซึ่งมีให้เลือกเยอะมาก แต่เราเลือกแบบโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร เพราะเราโอนเงินผ่านมือถือได้ แถมวิธีนี้มีส่วนลดเพิ่มให้ด้วยนะ
พอกดยืนยันการจองจะได้รับอีเมล์แจ้งรายละเอียดการชำระเงิน โดยจะต้องรีบชำระภายเงินภายใน 1 ชม. เพื่อยืนยันการจอง พอชำระเสร็จก็กลับเข้ามาที่หน้าเว็บและกดปุ่มแจ้งการชำระเงิน พร้อมกับอัพโหลดหลักฐานการชำระเงิน เพียงแค่นี้ก็เสร็จเรียบร้อย และจะได้รับอีเมล์ยืนยันการจอง โดยสามารถนำเอาไปยื่นให้ทางโรงแรมในวันเข้าพักได้เลย
เราได้ห้องพักที่อยู่ชั้นล่าง ภายในห้องมี 2 เตียง เรามาคนเดียวอีกเตียงเลยเป็นที่วางของ มีทีวีและตู้เย็นตั้งอยู่ปลายเตียง
ห้องน้ำที่นี่จะอยู่ด้านบนของหัวเตียง โดยแยกเป็นสองห้อง ห้องด้านซ้ายเป็นห้องอาบน้ำ
ส่วนห้องด้านขวาเป็นห้องส้วม โดยมีอ่างล้างหน้าอยู่ตรงกลาง บรรยากาศโดยรวมถือว่าโอเคให้ 8 เต็ม 10
หลังจากเดินทางมาเกือบทั้งวัน แถมโดนตัดพลังด้วยแสงแดด จึงนอนพักผ่อนเอาแรงกลับคืนมา 1 ตื่น ตื่นมาอีกทีก็เกือบหกโมงเย็น จึงรีบล้างหน้าล้างตาแล้วออกไปเดินเล่นและนั่งดูพระอาทิตย์ตกดินที่แผ่นดินประเทศไทยจากฝั่งประเทศลาว
ผู้คนเริ่มคึกคักกว่าเมื่อช่วงบ่าย เพราะอากาศเย็นสบายกำลังดี
เราเดินออกมาจากที่พัก ผ่านลานน้ำพุที่เป็นเหมือนตลาดโต้รุ่งมาประมาณ 200 เมตร ก็จะมาถึงบริเวณริมแม่น้ำโขง
บริเวณแถวนี้จะมีแม่ค้ามาตั้งร้านเล็กๆขายอาหารและเครื่องดื่ม อย่างส้มตำ ของปิ้งยาง และเบียร์ลาว
โดยมีโต๊ะให้นั่งกินชมบรรยากาศของแม่น้ำโขงอย่างใกล้ชิด
เดินเลยร้านอาหารไปอีกสักนิดจะมีระเบียงไม้ว่างๆ ให้นั่งเล่นชมวิวพระอาทิตย์ตกดินที่แผ่นดินประเทศไทย
แต่เรามาช้าไปหน่อยเลยไม่ทันได้ร่ำลากัน โดยเหลือไว้แค่เพียงแสงสุดท้ายที่ปลายขอบฟ้าให้ได้ชื่นชม
“มีเวลาให้หัวใจกับสายลมได้ทักทาย เปิดโอกาสให้แสงแดด และร่างกายได้พบกัน อากาศถ่ายเทความเศร้า ความทุกข์ระเหยเป็นควัน ปล่อยความคิดล่องลอยสักวัน”
“เอนกายทิ้งตัวหายไป ในหลุมอากาศ สู่จักรวาลที่สองเราปลอดภัยจากทุกสิ่ง เต็มไปด้วยความรู้สึก สบายเมื่อได้พักพิง โอ้ สวรรค์มีอยู่จริง “
“This is the vacation time เวลานี้ช่างมีความหมาย ดื่มชีวิตช้าช้า แล้วพักผ่อน ลืมความจริงร้ายร้าย ทิ้งเอาไว้ก่อน This is the vacation time” – Vacation Time
บรรยากาศตอนนั้นมันเข้ากับเพลงนี้มาก เรานั่งดูวิวและถ่ายรูปไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องคิดอะไรจนกว่าใจจะบอกว่า “พอ”
เราออกเดินสำรวจบริเวณแถวนี้อีกนิดหน่อย เพื่อเรียกน้ำย่อยในท้องให้เริ่มทำงาน
เดินวนกลับมาที่ลานน้ำพุที่เป็นเหมือนตลาดโต้รุ่ง มีร้านค้ามาตั้งร้านขายอาหาร ขนม และเครื่องดื่มประมาณ 10 กว่าร้าน
ลานตรงกลางมีโต๊ะและเก้าอี้ตั้งเอาไว้ให้สามารถเลือกนั่งได้ตามใจ จะซื้อของร้านไหนมานั่งกินก็ได้ไม่ว่ากัน
เราเดินวนไปวนมาอยู่สองรอบจึงมาจบที่ร้านชายสี่หมี่เกี้ยว รสชาติจะแตกต่างจากบ้านเราเล็กน้อยแต่ก็อร่อยดี ราคาชามละ 60 บาท
เมื่ออิ่มจากอาหารจานหลัก เราเดินกลับมาที่ร้านริมน้ำ เพื่อมาลองของปิ้งย่างเสียบไม้ และเบียร์ลาวเย็นๆ แก้หนาว
ของปิ้งย่างเสียบไม้มีให้เลือกหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นปีกไก่ ไส้หมู ปลานิล หรือเขียดย่าง มีประมาณ 10 กว่าอย่าง แต่เราขอลองเป็นไส้หมูย่างละกัน จากนั้นแม่ค้าก็เอาไปย่างให้ร้อนอีกสักหน่อย ก่อนจะหันใส่จานมาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะพร้อมด้วยพริกน้ำปลา
เบียร์พร้อม กับแกล้มพร้อม เอ้าชน!!! กับใคร? ก็คนเดียวไงจะใครเล่า เหงาและเศร้ามากกกก (ก.ไก่ล้านตัว)
บรรยากาศโคตรเหงา ลมหนาวยังพัดมาซ้ำเติมอย่างไม่หยุดหย่อน จนหน้าชา ปากชา ขาชา ไอ้นั่นก็ชา (หมายถึงแขน)
หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง ต้องแก้ด้วยเบียร์ลาวเย็นๆ และไส้หมูย่างที่คาดว่าน่าจะมีอายุประมาณ 5 ล้านปี (โคตรเหนียว)
ยิ่งดึกยิ่งหนาว เบียร์ลาวก็สู้ไม่ไหว เลยตัดสินใจเดินกลับไปตั้งหลักใต้ที่พัก
นั่งเล่นดูรูปที่ถ่ายอยู่ใต้ที่พักจนได้ไปรู้จักกับเพื่อนใหม่ชาวลาวที่เดินทางมาจากแขวงสะหวันนะเขต เพื่อมาเยี่ยมเพื่อนที่อาศัยอยู่ที่ ท่าแขก นั่งคุยเล่นกันอยู่สักพัก เพื่อนก็ชวนไปเที่ยวผับลาวที่อยู่ในตัวเมืองด้วยกัน บังเอิญว่าเราเป็นคนขี้เกรงใจเลยไม่กล้าปฎิเสธไป (ได้หมดถ้าสดชื่น)
ก่อนไปผับเพื่อนพาไปแวะอุ่นเครื่องกันก่อนที่ร้านอาหารพูเบียร์ เป็นร้านแนวนั่งชิลและมีคาราโอเกะให้ลูกค้าสามารถขึ้นไปร้องเพลงบนเวทีได้ เราเลยจัดไปหนึ่งเพลงเพราะโดนเพื่อนยุ แต่จริงๆ อยากร้องอีกหลายเพลง แต่เกรงใจเลยแบ่งให้โต๊ะอื่นบ้าง (ร้านนี้ไม่ได้ถ่ายรูปไว้)
Kimber
พอเครื่องร้อนได้ที่เราจึงไปต่อกันที่ผับที่มีชื่อว่า “Kimber” (โปรดอย่าถามว่าอยู่ตรงไหน แค่กลับกันถูกก็บุญโขแล้ว 555) บรรยากาศของผับลาวก็คล้ายๆ กับผับแถวต่างจังหวัดของบ้านเรา แต่ที่ไม่ต่างก็คือเพลงที่เปิดในผับ มีแต่เพลงไทยและเพลงสากล แถมร้องกันได้ทุกคน และมีดนตรีสดด้วยนะ เล่นเมามาก เอ้ย!!! มันส์มาก (ที่เมาคือพวกเราเอง)
ผับที่นี่จะปิดตอนเที่ยงคืน พอห้าทุ่มครึ่งคนก็เริ่มเดินออกละ ไม่รู้ว่าไปต่อที่ไหนกัน ส่วนพวกเราไปต่อกันที่ร้าน “เฝอ” ปกติไม่ค่อยกินอะไรหลังจากดื่ม แต่เพื่อนก็คะยั้นคะยอให้กิน เลยจัดไปหนึ่งชามใหญ่ๆ แต่เพื่อนบอกว่านี่แค่ชามน้อยนะ เอิ่ม!!!
กินกันจนอิ่มก็ขับกลับมาที่พักแล้วแยกย้ายกันไปนอน ตอนนั้นเมามาก เลยไม่ได้อาบน้ำและเข้านอนทันที นอนไปได้ห้านาที รู้สึกปั่นป่วนอยู่ในท้องและรู้สึกเหมือนจะอ้วก พยายามดึงตัวลุกออกจากเตียงไปที่ห้องน้ำ แต่ไม่ทันจ้า อ้วกกระจายเต็มพื้นกลางห้องเลยจ้า จากที่เคยรู้สึกเมาและง่วงกลับมาตาสว่างอีกครั้ง และตั้งหน้าตั้งตานั่งเช็ดอ้วกจนสะอาดเอี่ยม ตื่นมาอีกทีก็เกือบ 9 โมง เลยไม่ได้ไปตลาดเช้าอย่างที่ตั้งใจ
อาบน้ำแต่งตัวออกมากินข้าวเช้าฟรี มีเมนูอาหารเช้าให้เลือกอยู่ 8 เซต โดยเลือกได้แค่ 1 เซตเท่านั้น นอกนั้นจ่ายตังค์เพิ่ม ส่วนเราเลือกหมายเลข 10007 Rice Soup with Egg โดยทุกเซตจะมีขนมปัง เนย และน้ำส้ม ชา หรือกาแฟให้ด้วย ข้าวต้มอร่อยดี แต่ที่ชอบที่สุดคือขนมปังทาเนย คือเนยที่นี่หอมมาก จนอยากจะขอเนยเปล่าๆเอาไปกินเล่น แต่ดันลืมถามว่ายี่ห้ออะไรเสียดายมาก
พอกินเสร็จก็ไปติดต่อขอเช่ารถจักรยานจากโรงแรม เพื่อปั่นไปไหว้พระธาตุศรีโคดตะบอง ปกติราคาประมาณ 240 บาทต่อวัน แต่เรามีเวลาเหลืออีกเพียงแค่ 2 ชม. ก่อนจะต้องรีบกลับมาเช็คเอาท์ เลยขอเช่าแค่ 2 ชม. ในราคา 60 บาท
พระธาตุอยู่ห่างจากที่พักของเราออกไปทางทิศใต้ประมาณ 6 กิโลเมตร สามารถไปได้ 3 เส้นทาง ดังนี้
1. เส้นทางแรกสายสีแดงปั่นเลียบแม่น้ำโขงประมาณ 2 กิโลแล้วตัดเข้าเส้นสีเขียว เส้นทางนี้วิวสวยและรถน้อย
2. เส้นทางที่สองสายสีเขียว ไม่เห็นวิวแม่น้ำโขงแต่รถน้อย ปกติสามารถปั่นไปได้จนถึงพระธาตุ แต่ช่วงหน้าฝนถนนขาดตรงเส้นสีเหลืองเลยไปต่อไม่ได้ ต้องปั่นย้อนกลับมาเลี้ยวตรงเส้นสีชมพูเพื่อตัดเข้าถนนเส้นสีฟ้า
3. เส้นทางสุดท้ายสายสีฟ้า ไม่เห็นวิวแม่น้ำโขง รถเยอะและพลุกพล่านมาก
สำหรับเราตอนนั้นเลือกปั่นไปตามถนนเลียบขนานไปกับแม่น้ำโขง บรรยากาศดีมากๆ ปั่นไปชมวิวไป ชิลๆ
ชุมชนที่อาศัยอยู่ย่านนี้ส่วนใหญ่น่าจะเป็นชาวลาวเชื้อสายเวียดนาม เพราะดูจากลักษณะการแต่งกายและภาษาที่พูด
พอปั่นมาได้สักประมาณ 2 กิโล ทางเลียบแม่น้ำจะมาสุดที่วัดแห่งหนึ่ง จากนั้นก็เลี้ยวซ้ายไปปั่นต่อบนถนนเส้นสีเขียว
ซึ่งปกติถนนเส้นสีเขียวสามารถปั่นไปได้จนถึงพระธาตุ แต่วันนั้นถนนขาดตรงเส้นสีเหลืองและยังไม่ได้ซ่อมเลยไปต่อไม่ได้ เราก็ไม่รู้มาก่อนล่วงหน้า เลยต้องปั้นย้อนกลับมาอีกเกือบ 3 กิโล จนถึงบ้านหลังใหญ่ที่อยู่ในรูปด้านล่าง ซึ่งด้านข้างมีซอยเล็กๆ ตัดเข้าถนนเส้นสีฟ้าได้
พระธาตุศรีโคตรบอง
สรุปแล้วถ้าอยากปั่นจักรยานมาเองให้ถามชาวบ้านแถวนั้นก่อนว่าถนนเส้นสีเขียวถนนขาดรึเปล่า ถ้าสามารถไปได้แนะนำให้ปั่นไปตามเส้นสีแดงก่อนเพื่อชมวิวแล้วค่อยตัดเข้าเส้นสีเขียวไปจนถึงพระธาตุ
สิ่งแรกที่ทำเมื่อมาถึงคือการยืนตากลมให้เหงื่อแห้งและหายเหนื่อย ก่อนจะเดินไปซื้อตั๋วเข้าชมในราคาคนละ 20 บาท
วันนี้เป็นอีกวันที่อากาศดีมาก มีลมหนาวพัดมาเรื่อยๆ อากาศก็บริสุทธิ์ยิ่งสูดเข้าไปยิ่งสดชื่น แถมฟ้าใสไม่มีเมฆเลยสักก้อน ยอดขององค์พระธาตุที่มีสีเหลืองทองจึงยิ่งดูเด่นเป็นสง่าสวยงามมาก
พระธาตุศรีโคตรบองหรือพระธาตุสีโคดตะบอง คาดว่าสร้างในช่วงพุทธศตวรรษที่ 10 โดยพระเจ้านันทเสนในสมัยที่เมืองท่าแขกเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรศรีโคตรบูร ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นองค์พระธาตุคู่กันกับ พระธาตุพนม จ.นครพนม เพราะเป็นพระธาตุของอาณาจักรศรีโคตรบูรที่สร้างร่วมสมัยมาด้วยกัน
ด้านข้างขององค์พระธาตุมีพระอุโบสถที่ภายในประดิษฐานพระประทานองค์ใหญ่
ประตูที่เราเดินเข้ามาเป็นด้านหลังของพระอุโบสถ
พระประทานองค์นี้มีพระพักตร์ที่ยิ้มแย้มและอิ่มเอิบมาก
มีเณรน้อยคอยดูแลและต้อนรับผู้ที่มาทำบุญไหว้พระ
ด้านข้างมีฆ้ององค์ใหญ่ที่ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวชอบมาถูตรงกลางให้เกิดเสียงก้องกังวานและขอพร
มุมนี่สงบและอากาศสดชื่นมาก
พระอุโบสถและองค์พระธาตุตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงฝั่งทิศตะวันออก ในจุดที่ลำน้ำโขงค่อนข้างแคบ
ชาวบ้านแวะเวียนกันมาสักการะองค์พระธาตุอย่างไม่ขาดสาย โดยผู้หญิงทุกคนที่มาจะนุ่งผ้าซิ่นลายสวยๆและมีสไบผืนเล็กๆพาดไหล่
จุดสำคัญอีกจุดหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากองค์พระธาตุนั่นก็คือ อนุสาวรีย์พระยาศรีโคตรบอง เจ้าผู้ครองเมืองศรีโคตรบูรณ์ เมืองลูกหลวงที่ขึ้นต่อเมืองเวียงจันทน์ ซึ่งแต่เดิมมีพระนามตามตำแหน่งว่าพระยาศรีโคตรบูรณ์ แต่ด้วยพระองค์มีฤทธิ์ทางด้านการใช้กระบอง จึงได้พระนามใหม่ว่า “พระยาศรีโคตรบอง”
มีตำนาน (แบบย่อ) เล่าว่า “พระยาศรีโคตรบองผู้ทรงฤทธานุภาพฆ่าไม่ตาย และสามารถลากท่อนซุงขนาดใหญ่มาทำกระบอง เพื่อปราบช้างป่านับล้านตัวให้กับอาณาจักรเวียงจันทน์ จนเป็นที่มาของอาณาจักรล้านช้าง แต่แล้วก็ต้องตายในที่สุด เพราะภัยการเมืองจากเจ้าเมืองเวียงจันทน์ที่ส่งธิดามาเป็นชายาล้วงความลับ จนพบว่าจุดอ่อนอยู่ที่ทวารหนัก และพระยาศรีโคตรบองได้ซ่อนปริศนาที่ว่าด้วยคำสาปก่อนตาย ที่ทำให้ดินแดนสองฝั่งโขงไม่ได้เจริญอย่างถึงที่สุด และถึงจะเจริญก็เพียงแค่ช่วง ช้างพับหู-งูแลบลิ้น เท่านั้น” (ที่มา)
หลังจากสักการะองค์พระธาตุและอนุสาวรีย์
ขามาก็ว่าเหนื่อยแล้วนะ แต่ขากลับเหนื่อยกว่า เพราะต้องปั่นโต้ลม แถมยางก็แบน เลยแวะเติมลมที่ร้านซ่อมรถมอเตอร์ไซด์ระหว่างทาง พี่ชายเจ้าของร้านใจดีเติมให้โดยไม่คิดเงิน
พอกลับมาถึงที่พักก็รีบอาบน้ำ เก็บของและเช็คเอาท์
และเดินมาถ่ายรูปเล่นตรงลานน้ำพุอีกนิดหน่อย ก่อนจะเดินต่อไปยังพิพิธภัณฑ์ประวัติเมืองท่าแขก ซึ่งอยู่ระหว่างทางที่จะไปท่าเรือ
พอมาถึงจึงเห็นว่าวันนี้ปิดจ้า เพราะที่นี่เปิดแค่วันจันทร์ถึงวันศุกร์เท่านั้น
จึงเดินไปหาข้าวเที่ยงกินใกล้ๆท่าเรือเพื่อปลอบใจ จนเจอร้านเฝออยู่ตรงสี่แยกก่อนที่จะเลี้ยวซ้ายไปท่าเรือ
เลยจัดเฝอชามน้อย ที่ปริมาณไม่น้อยมาหนึ่งชาม ให้เครื่องเยอะและน้ำซุปรสชาติเข้มข้นมาก แถมลูกสาวเจ้าของร้านก็น่ารัก
หลังจากกินเสร็จก็รีบเดินมาที่ท่าเรือ เพื่อทำเอกสารผ่านแดน จ่ายค่าธรรมเนียมผ่านแดน 50 บาท และค่าเรือ 60 บาท
ขากลับเรือลำเล็กมาก แถมคนก็เยอะ
จังหวัดนครพนม
ผ่านไปประมาณ 20 นาที ก็มาถึงท่าเรือฝั่งไทยโดยสวัสดิภาพ ยินดีต้อนรับกลับสู่จังหวัดนครพนม
สำหรับระยะเวลาเพียงแค่ 1 วัน 1 คืนที่เมือง “ท่าแขก” แขวงคำม่วน สปป.ลาว อาจจะไม่เพียงพอเมื่อเทียบกับจำนวนสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจของที่นี่ แต่ก็เพียงพอสำหรับเราที่ต้องการมาเปิดโลกกว้างให้มากขึ้นอีกนิด อย่างน้อยเราก็ได้มาสัมผัสกับดินแดนลึกลับที่อยู่ระหว่างทิวเขาและสายน้ำโขงที่เคยตั้งใจจะมาสำรวจเมื่อหลายปีก่อนได้จนสำเร็จ ไว้โอกาสหน้าจะหาเวลามาสำรวจที่นี่ให้มากกว่านี้ เพราะยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจและรอคอยให้เราออกไปค้นหาและสัมผัสอีกมากมาย
สรุปค่าใช้จ่าย
- ค่าที่พัก Inthira Hotel จำนวน 1 คืน พร้อมอาหารเช้า : 927 บาท
- ค่าเรือข้ามฝาก ไป-กลับ : 120 บาท
- ค่าธรรมเนียมผ่านแดน ประเทศลาว ไป-กลับ : 100 บาท
- ค่าเช่าจักรยาน 2 ชั่วโมง : 60 บาท
- ค่าเข้าชมวัดพระธาตุศรีโคตรบอง : 20 บาท
รวมค่าใช้จ่ายประมาณ 1,227 บาท (ไม่รวมค่าอาหารและเครื่องดื่ม)
ขอขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ สำหรับทริปนครพนมติดตามได้จากกระทู้หน้านะครับ : )